การจัดการธาตุอาหารและให้ปุ๋ยลำใย
การให้ปุ๋ยกับต้นลำไยที่ผ่านมา ชาวสวนลำไยจะอาศัยจากประสบการณ์ที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นหลัก ในกรณีการจัดการธาตุอาหารที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลต่อสมดุลของธาตุอาหารในดิน ซึ่งจะมีบัญหาต่อการจัดการธาตุอาหารและการผลิตลำไยในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น การใช้ข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการดินและธาตุอาหาร จะช่วยในการให้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ต้นทุนจากการใช้ปุ๋ยลดลงและมีประสิทธิภาพสูง
ธาตุอาหารพืช
ธาตุอาหารพืช หมายถึงธาตุที่พืซต้องการเพื่อดำรงชีพ ธาตุเหล่านี้มีบทบาทในกระบวนการเมตาบอลิซึม (metabolism) อย่างเฉพาะเจาะจงในพืช ไม่มีธาตุอื่นใดทำหน้าที่แทนได้อย่างสมบรณ์ เมื่อพืชขาดธาตุอาหารธาตุใดธาตุหนึ่งจะชะงักการเจริญเติบโต มีอาการผิดปกติอันเป็นลักษณะเฉพาะ และอาจพื้นนตัวได้เมื่อได้รับปุ๋ยซึ่งมีธาตุนั้นจนเพียงพอโดยหน้าที่ของธาตุอาหารพืชนั้นสรุปไว้ในตารางที่ 2.1 ซึ่งการให้ธาตุอาหารแก่พืชจะมีการตอบสนองของพืชเป็นระดับต่างๆ ตามปริมาณธาตุอาหารที่ไต้รับดังนี้
ตารางที่ 2.1 หน้าที่สำคัญของธาตุอาหารพืช และอาการขาดแคลนธาตุอาหารของพืช
ธาตุ | หน้าที่สำคัญ | อาการขาด |
ไนโตรเจน | เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโน โปรตีนคลอโรฟิลด์ และเอนไซม์ในพืช ส่งเสริมการเจริญเติบโตของยอดอ่านใบและกิ่งก้าน | โตช้าใบล่างมีสีเหลืองชีดทั้งแผ่นใบต่อมากลายเป็นสีน้ำตางและร่วงหล่น |
ฟอสฟอรัส | ช่วยในการสงเคราะห์โปรตีนและสารอินทรีย์ที่สำคัญในพืช เป็นองค์ประกอบของสารที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงานในกระบวนการ เช่น การสงเคราะห์แสงและการหายใจ | ใบล่างเริ่มมีสีม่วงตามแผ่นใบ ต่อมาใบเป็นสีน้ำตาลและร่วงหล่นลำต้นแกร็นไม่ผลิตดอกออกผล |
โพแทสเซียม | ช่วยสงเคราะห์น้ำตาลแป้งและโปรตีนส่งเสริมการเคลื่อนย้ายของน้ำตาลจากใบไปยังผลช่วยให้ผลเจริญเติบโตเร็ว พืชแข็งแรงมีความต้านทานต่อโรคบางชนิด | ใบล่างเป็นสีเหลืองและกลายเป็นสีน้ำตาลตามขอบใบ แล้วลุกลามเข้ามา ตามแผ่นใบรากเจริญเติบโตช้าลำต้นอ่อนแอ ผลไม่เติบโต |
แคลเซียม | เป็นองค์ประกอบของสารที่เชื่อมผนังเซลล์ให้ติดกัน ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสรการงอกของเมล็ด และช่วยให้เอนไซม์บางชนิดทำงานได้ดี | ใบที่เจริญใหม่จะหงิก ตายอดไม่เจริญ อาจจะมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้นผลแตกและคุณภาพไม่ดี |
แมกนีเซียม | เป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ ช่วยสงเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมันและน้ำตาล | ใบแก่จะเหลืองยกเว้นเส้นใบและใบร่วงหล่นเร็ว |
กำมะถัน | เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโน โปรตีนและวิตมิน | ใบทั้งบนและล่างมีสีเหลืองซีดและต้นอ่อนแอ |
โบรอน | ช่วยในการออกดอกและผสมเกสรมีบทบาทสำคัญในการติดผลและการเคลื่อนย้ายน้ำตาลมายังผล การเคลื่อนย้ายของฮอร์โมนการใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนและการแบ่งเซลล์ | ตายอดตายแล้วมีตาข้าง แต่ตาข้างจะตายอีก ลำต้นไม่ค่อยยืดตัวกิ่งและใบจึงชิดกัน ใบเล็กหนาโค้งและเปราะ |
ทองแดง | ช่วยในการสงเคราะห์คลอโรฟิลล์ การหายใจการใช้โปรตีนและแป้ง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์บางชนืด | ตายอดชงักการเจริญเติบโตและกลายเปนสีดำ ใบอ่อนเหลือง พืชทั้งต้นชะงักการเจริญเติบโต |
คลอลีน | มีบทบาทบางประการ เกี่ยวกับฮอร์โมนในพืช | พืชเหี่ยวง่ายใบซีดและบางส่วนแห้งตาย |
เหล็ก | ช่วยในการสงเราะห์คลอโรฟิลล์มีบทบาทสำคัญในการสงเคราะห์แสงและการหายใจ | ใบอ่อนมีสีขาวซีดในขณะที่ใบแก่ยังเขียวสด |
ระดับการขาดธาตุอาหาร (Nutrient deficiency)หมายถึงการที่พืชได้รับ ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตอยู่ในระดับที่ขาดแคลน ทำให้ผลผลิต ลดลงอย่างมาก พืชจะแสดงอาการขาดธาตุให้เห็นซึ่งลักษณะอาการขาดธาตุ นี้อาจจะแสดงให้เห็นชัดเจนมากน้อยแล้วแต่ปริมาณที่พืชได้รับ ส่วนระดับที่พืช ได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอ (Insufficient) หมายถึงพืชได้รับธาตุอาหารใบระดับที่ต่ำกว่าระดับความต้องการที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชผลทำให้พืช มีการเจริญเติบโตช้าลงให้ผลผลิตน้อยลง ในกรณีเช่นนี้พืชอาจจะไม่แสดงอาการ ขาดธาตุอาหารออกมาให้เห็น
ระดับเป็นพิษ (Toxic) หมายถึงพืชได้รับธาตุอาหารในระดับที่สูงเกินความต้องการมาก จนมีผลทำให้พืชลดการเจริญเติบโต ในกรณีที่พืชได้รับธาตุอาหารในระดับสูงมาก พืชจะแสดงอาการผิดปกติทางสรีระวิทยาออกมา ให้เห็นหรืออาจทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโตได้
ระดับมากเกินพอ (Excessive) หมายถึงพืชได้รับธาตุอาหารมากเกินความต้องการ จนมีผลทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดการขาดธาตุอาหารธาตุอื่น
ความต้องการธาตุอาหารและแนวทางการจัดการปุ๋ยลำใย
การให้ปุ๋ยลำไยโดยอาศัยค่าปริมาณธาตุอาหาร ที่ใช้ไปในระหว่างการแตกใบและที่สูญเสียไปกับผลผลิต (Crop removal) เป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการใส่ปุ๋ยเพราะเป็นการให้ปุ๋ย
ตารางที่ 2.2 ปริมาณธาตุอาหารที่ลำไยใช้ในแต่ละระยะการแตกช่อใบ
ขนาดทรงพุ่ม (เมตร ) | ปริมาณธาตุอาหาร ( กรัม/ต้น ) | ||
ไนโตรเจน | ฟอสฟอรัส | โพแทสเซียม | |
1-2 | 6-12 | 0.5-1.0 | 3.7-7.0 |
3-4 | 28-55 | 2.2-4.4 | 18.0-35.0 |
5-6 | 96.4-156 | 7.7-12.5 | 60.3-98.0 |
7 | 241.4 | 19.3 | 160.0 |
ตารางที่ 2.3 ปริมาณธาตุอาหารที่สูญเสียไปกับผลผลิต ที่น้ำหนักผลผลิต ที่น้ำหนักผลผลิตต่างๆ
จากตารางที่ 2.2 และ 2.3 คือปริมาณธาตุอาหารที่ลำไยใช้ไป ในระหว่างการแตกช่อใบและที่สูญเสียไปกับผลผลิต ซึ่งในการจัดการธาตุอาหารจะต้องคำนึงถึง ปริมาณที่ธาตุอาหารเกิดการสูญเสียหรือไม่เป็นประโยชน์อาทิเช่น การถูกตรึงในดิน การถูกชะล้าง เป็นต้น โดยจากผลการวิจัยพบว่าปริมาณให้ธาตุอาหารที่ 1.5 เท่าของปริมาณธาตุอาหารที่ติดไปกับผลผลิต เป็นปริมาณเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุด และเมื่อคำนวนเป็นปริมาณปุ๋ยสูตร 46-0-0 (ยูเรีย) 15-15-15 และ 0-0-50 หรือ0-0-50 แล้ว ปริมาณที่เหมาะสมแสดงดังตาราง ที่ 2.4 และ 2.5
ตารางที่ 2.4 แสดงปริมาณปุ๋ยที่ควรให้แก่ลำไยในแต่ละครั้งของการแตกใบ ( กรัมต่อต้น )
ทรงพุ่ม (เมตร ) |
ชนิดปุ๋ย | |||
46-0-0 | 15-15-15 | 0-0-60 | 0-0-50 | |
1 | 16 | 12 | 9 | 10 |
2 | 32 | 23 | 15 | 19 |
3 | 75 | 53 | 40 | 50 |
4 | 150 | 100 | 80 | 96 |
5 | 260 | 180 | 140 | 165 |
6 | 430 | 290 | 230 | 270 |
7 | 650 | 450 | 370 | 450 |
ตารางที่ 2.5 แสดงปริมาณปุ๋ยที่ควรให้กับลำไยในระยะติดผลถึงเก็บเกี่ยว ( กรัม /ต้น )
ปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะเก็บเก็บเกี่ยวได้ ( กก./ต้น ) | ชนิดปุ๋ย | |||
46-0-0 | 15-15-15 | 0-0-60 | 0-0-50 | |
50 | 450 | 480 | 440 | 500 |
100 | 900 | 960 | 880 | 1000 |
200 | 1800 | 1920 | 1800 | 2000 |
การให้ปุ๋ยลำใยระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโตของลำใย
การให้ปปุ๋ยลำไยที่ระยะต่างๆอาจกำหนดแนวทางได้ดังตารางที่ 2.6 ซึ่งปริมาณปุ๋ยสูตรต่างๆที่ควรให้กับลำไยจะขี้นอย่กับ ขนาดทรงพุ่ม และปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับในระยะเก็บเกี่ยว
ตารางที่ 2.6 แนวทางการให้ปุ๋ยลำไยในช่วงระยะต่างๆ
ระยะการเจริญเติบโตของลำไย | ||
หลังตัดแต่งกิ่งถึงแตกใบครั้งที่ 1 | แตกใบครั้งที่ 2 | ติดผลผลิตถึงระยะเก็บเกี่ยว |
การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยตามตารางที่ 2.2 หรือ 2.4 โดยขึ้นอยู่กับขนาดทรงพุ่มของลำไยและผลวิเคราะห์ดิน |
การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยตามตารางที่ 2.2 หรือ 2.4 โดยขึ้นอยู่กับขนาดทรงพุ่มของลำไยและผลวิเคราะห์ดิน |
การให้ปุ๋ย ให้ปุ๋ยตามตารางที่ 2.3 หรือ 2.5 โดยขึ้นอยู่กับผลวิเคราะห์ดินและปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับในระยะเก็บเกี่ยวทั้งนี้อาจแบ่งใส่ 2 ถึง 4 ครั้ง |
นอกจากนี้ก่อนการใส่ปุ๋ย ควรมีการวิเคราะห์ดินในสวนก่อน ซึ่งจะทำให้ทราบถึงปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่แล้วในดิน ตลอดจนทราบว่าดินเป็นกรดหรือไม่เพื่อที่จะได้มีการปรับปรุงดินก่อนใส่ปุย จะทำให้ลำไยใช้ปุยได้ดิยิ่งฃี้น
การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงการใช้ปุ๋ยเคมีชนิดที่เหมาะสมโดยวิธีการที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีมูลค่าสูงสุดและต้นทุนต่ำซึ่งวิธีการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดมีดังนี้
1. ใช้ปุ๋ยให้ตรงกับการขาดธาตุอาหาร เช่นถ้าขาดธาตุไนโตรเจนก็ต้องให้ปุ๋ยไนโตรเจนและต้องให้จนถึงระดับที่เพียงพอ ถ้าขาดแคลนทั้ง3 ธาตุอาหารก็ให้จนครบและเพียงพอทั้ง 3 ธาตุอาหาร หากให้ไม่ครบก็จะให้ผลเหมือนกับไม่ให้อะไรเลยเพราะธาตุอาหารที่ขาดจะเป็นตัวจำกัดการเจริญเติบโต
2. พยายามให้ดินร่วนซุยและมีความชื้นอย่างเหมาะสม เพราะโดยปกติรากพืชจะแผ่ขยายและชอนไชในดินร่วนซุยได้ดีมาก ทำให้มีโอกาสดูดน้ำและธาตุอาหารไปใช้อย่างเต็มที่ เมื่อใส่ปุ๋ยลงไปพืชก็จะดูดธาตุอาหารจากปุ๋ยได้มาก ถ้าดินแน่นทึบต้องใส่ปุ๋ยอินทรีย์ให้พอเพียง รวมทั้งควรให้ความชื้นอย่างเพียงพอ เพราะนอกจากจะทำให้ปุ๋ยละลายแล้ว พืชยังต้องการน้ำไปใช้ประโยชน์โดยตรงด้วย หากดินแห้งหรือแฉะเกินไปพืชก็จะไม่สามารถดูดธาตุอาหารได้ดี
3. ใส่ปุ๋ยให้ถูกที่ ถูกจังหวะและปริมาณที่เหมาะสม ปุ๋ยที่ใส่ลงไปในดินจะเป็นประโยชน์ต่อพืชได้ก็ต่อเมื่อปุ๋ยนั้นละลายในดิน ตรงบริเวณที่รากเจริญเติบโตและแผ่ขยายอย่างหนาแน่น แต่ความเข้มข้นของปุ๋ยในดินนั้นจะต้องไม่มากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อรากพืช
4. ปุ๋ยอาจหายไปจากดินได้ โดยปุ๋ยที่ละลายน้ำง่ายเช่น ปุ๋ยไนโตรเจน ถูกน้ำชะลงไปในชั้นดินลึก ซึ่งรากพืชดูดไปใช้ไม่ได้ หลังจากใส่ปุ๋ยไนโตรเจนแล้วต้องรดน้ำแต่พอควรเท่านั้น และควรป้องกันน้ำเซาะกร่อนดินแล้วดินถูกพัดพาไปตามน้ำ ปัญหาอย่างนี้มักเกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งมีความลาดเทมาก อีกกรณีหนึ่งคือ การสูญเสียปุ๋ยโดยระเหยไปจากดิน ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อใส่ปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยแอมโมเนียในดินที่เป็นด่างจัด หรือการใส่ปุ๋ยยูเรียร่วมกับการใส่ปูนขาว ดังนั้นเกษตรกรจึงควรหลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าว
5. การให้ปุ๋ยที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้สมดุลของธาตุอาหารในดินเปลี่ยนแปลงได้ โดยเกิดขึ้นเมื่อเกษตรกรใส่ปุ๋ยบางธาตุโดยเฉพาะปุ๋ยธาตุอาหารหลักหรือปุ๋ยเคมีสูตรที่จำหน่ายทั่วไป เช่น สูตร15-15-15หรือ 8-24-24 ในปริมาณมากและติดต่อเป็นเวลานานโดยไม่มีการวิเคราะห์ดินว่ามีปริมาณธาตุอาหารมากน้อยเท่าใดจะทำให้ธาตุอาหารอื่นซึ่งพืชยังไม่น่าจะขาดกลับขาดแคลนได้ โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งถ้ามีปริมาณมากเกินไปจะมีผลทำให้พืชขาดจุลธาตุ เช่น สังกะสีและทองแดง เช่นในดินที่มีสังกะสีอยู่ไม่มากนัก แต่พืชยังไม่ขาดสังกะสีถ้าใส่ปุ๋ยฟอสเฟตค่อนข้างมากในดินประเภทนี้ จะทำให้พืชเริ่มขาดสังกะสีทันที ส่วนดินที่มีโพแทสเซียมปริมาณมากจะไปขัดขวางไม่ให้พืชดูดแคลเซียมและแมกนีเซียมได้ เป็นต้น
6. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยโดยตัดแต่งกิ่งนอกจากเป็นการตัดกิ่งที่ทึบบังแสงแดด ซึ่งใบถูกบังแสง และมีประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงลดลง หากเปรียบรากของต้นกิ่งตอนซึ่งมีรากน้อยเสมือนปั๊มสูบน้ำที่มีแรงจำกัดส่วนกิ่งและยอดเหมือนท่อน้ำ หากมีท่อน้ำอยู่มากเกินไปจะทำให้ปั๊มที่มีแรงจำกัดไม่สามารถส่งน้ำไปปลายท่อได้มากพอ แต่ถ้าปิดหรือลดท่อแยกลงก็จะทำให้น้ำจากปั๊มส่งถึงปลายท่อได้แรงขึ้น ต้นลำไยก็เช่นกันถ้ารากที่มีอยู่จำกัดก็ไม่สามารถส่งอาหารไปเลี้ยงทุกยอดได้อย่างดีพอ ทำให้ต้นอาจแสดงอาการขาดธาตุอาหารได้ ควรตัดแต่งกิ่งออกบ้างเพื่อให้รากสามารถดูดธาตุอาหารไปเลี้ยงส่วนยอดได้ทัน
การให้ปุ๋ยอินทรีย์และการจัดการเศษวัชพืชในสวนลำไย
อินทรียวัตถุในดินเป็นสิ่งที่สลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว ในประเทศเขตร้อนชื้นเช่นประเทศไทย ถ้าใช้แต่ปุ๋ยเคมีจะทำให้อินทรียวัตถุลดลงอย่างรวดเร็ว มีผลทำให้ดินแน่นทึบ การระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศไม่ดี จึงต้องรักษาระดับอินทรียวัตถุในดินไว้ ถ้าเป็นดินเหนียวและดินร่วนควรมีอินทรียวัตถุอย่างน้อย 2.5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นดินทรายควรมีอินทรียวัตถุอย่างน้อย 1.5 เปอร์เซ็นต์โดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ประเภทมูลวัว มูลไก่ แกลบ การจัดการเศษปุ๋ยลำไยที่ได้จากการตัดแต่งกิ่งโดยการทิ้งให้เน่าเปื่อยสลายตัวคลุมโคนต้น จัดว่าเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุแก่ดินที่ประหยัดที่สุด การกำจัดวัชพืชโดยการตัดแล้วใช้เศษวัชพืชเป็นปุ๋ยอินทรีย์ก็เป็นอีกทางหนึ่งในการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน นอกจากนี้การไม่เผาใบและกิ่งแขนงที่ถูกตัดแต่งออกก็จะทำให้มีธาตุอาหารกลับคืนสู่ดิน12 – 30 % ของธาตุอาหารหรือปุ๋ยที่ต้องการในรอบปีทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้ นอกจากนี้จะได้อินทรียวัตถุบำรุงดิน โดยปกติใบลำไยที่ถูกคลุมดินอยู่จะเน่าสลายได้ 70 – 90 % ในเวลา 1 ปี ขณะที่ใบลำไยเน่าสลายจะปลดปล่อยธาตุอาหารทำให้รากลำไยลอยขึ้นมาที่ผิวดิน ทำให้การใส่สารคลอเรตเพื่อชักนำให้ออกดอกมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ที่มา : คัดลอกบางส่วนจากหนังสือคู่มือจัดการสวนลำไย
ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุทธนา เขาสุเมรุ รองศาสตราจารย์ ดร.ชิติต ศรีตนทิพย์ ผู้ซ่วยศาสตราจารย์สันติ ช่างเจรจา นายภฤศพงศ์ เพชรบุล ว่าที่ร.ต.รัชต์พงษ์ หอชัยรัตน์